การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารและพนักงานยุคใหม่
ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเข้มข้น ทุกองค์กรมุ่งพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอดขององค์กร และเพื่อการเติบโตในอนาคต ผู้บริหารและบุคลากรขององค์การเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งกับการอยู่รอดหรือประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้บริหารแบบเดิมจึงต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเข้มข้น ทุกองค์กรมุ่งพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอดขององค์กร และเพื่อการเติบโตในอนาคต ผู้บริหารและบุคลากรขององค์การเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งกับการอยู่รอดหรือประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้บริหารแบบเดิมจึงต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
ตารางแสดงการเปรียบเทียบการบริหารแบบเดิมกับการบริหารแบบใหม่
การบริหารแบบเดิม
|
การบริหารแบบใหม่
|
1. ผู้บริหารคือนายจ้าง 2. มีอำนาจในการตัดสินใจ 3. ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย 4. บริหารจัดการแบบเดิม 5. บริหารและสั่งการจากบน – ล่าง (Top – Down) ออกแบบไว้ชัดเจน 6. บริหารงานตามสายการบังคับบัญชา ลดหลั่นกันลงมา คงอำนาจไว้ระดับสูง 7. บริหารจัดการอยู่ในวงแคบ 8. การทำงานเหมือนเดิมที่ถ่ายทอดกันมาเฉพาะ ด้าน 9. ผลิตสินค้าให้สำเร็จและจำหน่ายตามความพอใจของผู้บริหาร 10.ไม่จำเป็นต้องหากลยุทธ์ เพราะไม่มีคู่แข่ง หรือมีน้อย | 1. ผู้บริหาร คือ ผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาแก่ พนักงาน 2. ผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 3. ข้อมูลเปิดเผย นอกจากข้อมูลที่ทำให้องค์กรเสียหาย 4. การบริหารจัดการมีเทคนิคใหม่ ๆ โดยมีข้อมูลสารสนเทศ 5. การพิจารณาสั่งการรับฟังข้อเสนอแนะจาก ระดับล่าง (Bottom – Up) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 6. บริหารงานเป็นคณะทำงาน ที่ปรึกษา ทำงานเป็นทีม สายการบังคับบัญชาแบนราบและกระจายอำนาจ 7. บริหารจัดการกว้างไกล ไร้พรมแดน 8. การทำงานมีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ใช้ เครื่องจักรมากขึ้น 9. การผลิตและจำหน่ายยึดความพึงพอใจของ ลูกค้า 10.ต้องคิดหากลยุทธ์ให้เจริญเติบโต เพราะ คู่แข่งมีมาก |
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารและพนักงานในองค์กร บางกรณีก็มีการเริ่มเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมไปแล้ว และก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ซึ่งผู้บริหารและพนักงานจะต้องปรับเปลี่ยน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ดังนี้
1. เป็นองค์การที่ทันสมัย (Virtual Organization) มีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ สามารถทำงานได้ทุกหนทุกแห่งโดยใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุกส์ แลปทอป และคอมพิวเตอร์มือถือ ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นมีการทำงานที่บ้านแทนออฟฟิศ โดยมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้บริการ ถ้าพนักงานเข้ามาทำงานในออฟฟิศก็สามารถเข้าไปนั่งโต๊ะใด ๆ ก็ได้ โดยมีคอมพิวเตอร์ประจำโต๊ะเพื่อบอกรหัสผ่านของตนเองว่าวันนี้มาแสดงตน ญี่ปุ่นต้องการให้พนักงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศให้ได้ 20% ของคนทำงานทั้งหมด ในปี 2553 การใช้ระบบติดต่อสื่อสารเป็น Internet Chat Rooms และ Teleconference สำหรับการประชุม
2. ใช้เทคนิคการบริหารเวลา (Just in time) การบริหารวัตถุดิบ และควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้ผลิตสินค้าเสร็จตามเวลาส่งมอบให้ลูกค้าทันเวลา โดยไม่ผลิตไว้มากเกินไป มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจูงใจ การให้ค่าตอบแทนที่จูงใจ เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
3. เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) จากข้อมูล (Data) ได้มาจากการรวบรวม ถ้าข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเรียบเรียง วิเคราะห์ เรียกว่า Information ส่วนความรู้เกิดจากกระบวนการที่บุคคลรับรู้ ผ่านกระบวนการคัดเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับความรู้อื่นเป็นความเข้าใจ และนำไปใช้ และความรู้จะฝังอยู่ในตัวบุคคลเกิดเป็นปัญญา (Wisdom) เพราะเป็นยุคของการแข่งขัน เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลนำมาเป็นฐานในการปรับปรุงเปลี่ยนวิธีการ ปรับปรุงผลผลิตให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจสูงสุด
4. การนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ควบคุมการทำงาน (Computerized Coaching and Electronic Monitoring) ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนประกอบในอุปกรณ์ที่ทันสมัย ใช้ในการควบคุมการทำงาน ควบคุมการผลิต เช่น ในการผลิตหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน ในโรงพิมพ์มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน ตั้งแต่การพิมพ์ การขึ้นแท่นพิมพ์ของม้วนกระดาษ การเรียงพิมพ์ การจัดตามจำนวนใบสั่งของเอเย่นแต่ละแห่ง และผ่านสายพานลงสู่รถบรรทุกไปส่งตามจุดต่าง ๆ โดยใช้คำสั่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่เครื่องในโรงพิมพ์ ใช้บุคลากรเพียงไม่กี่คนก็สามารถทำงานได้ปริมาณมากมาย นอกจากนี้ยังใช้ในระบบต่าง ๆ เช่น การซื้อตั๋วดูภาพยนตร์ การจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ และอยู่ในงานอื่น ๆ อีกมาก
5. ความแตกต่างหลากหลายของพนักงาน (Growth for workers Diversity) การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน มีความหลากลายของบุคลากร ธุรกิจต่าง ๆ มีการขยายตัวเป็นบริษัทมหาชน การลงทุนจากต่างชาติ บริษัทข้ามชาติ จึงทำให้มีบุคลากรจากประเทศต่าง ๆ ที่ทำธุรกิจร่วมกัน ทั้งตำแหน่งพนักงาน ผู้บริหาร แตกต่างกันทั้งเพศ วัย การศึกษา และผู้บริหารที่เป็นสตรี ในปัจจุบันมีธุรกิจติดต่อต่างประเทศซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสนธิสัญญาต่าง ๆ เช่น WTO , FTA เป็นต้น
6. ให้ความสำคัญกับแรงงานทุกวัย (Aging workforce) แรงงานมีอายุต่างกัน งานบางประเภทใช้ความชำนาญการ ผู้ที่มีอายุการทำงานมากจะมีประสิทธิภาพดี แต่งานที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ผู้สูงอายุมักไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงมีการสนับสนุนการลาออกก่อนมีการเกษียณอายุ ในทัศนะของคุณธนินทร์ เจียรวรานนท์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ซีพี กล่าวว่า องค์กรต่าง ๆ ควรมีบุคลากรที่มีอายุต่าง ๆ กัน ทั้งอายุ 50 ปี 40 ปี 30 ปี และ 20 ปี เพื่อการจัดมอบหมายหน้าที่การงานให้เหมาะสมกับความรู้และความสามารถ และความเหมาะสมของวัย
7. ความแตกต่างหลากหลายของแรงงาน ธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น โรงงานผลิตปลากระป๋อง ผลิตภัณฑ์จากปลา จะมีแรงงานที่เข้า – ออกอยู่เป็นประจำ จึงทำให้การผลิตบางช่วงช้าลง เนื่องจากแรงงานใหม่ขาดทักษะ ต้องมีการสอนงานใหม่ ๆ
ที่มา http://uhost.rmutp.ac.th/kanlayanee.so/L5/5-3-1.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น